ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และ ใครควรฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ (botox) เป็นการฉีดเชื้อสารลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้เหมาะสม ซึ่งมีคุณภาพและปริมาณสารสกัดในแต่ละขวดที่แตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ ดังนั้น คุณภาพของโบท็อกซ์จะขึ้นอยู่กับโรงงานผลิตและแพทย์ผู้ประกอบการ ดังนั้นใครที่อยากฉีดโบท็อกซ์ จำเป็นที่จะต้องศึกษา หรือเลือกโบท็อกซ์ที่มีคุณภาพที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับตัวเอง โดยสามารถปรึกษาแพทย์ เจ้าหน้าที่คลินิกก่อนเข้ารับการฉีด
แน่นอนว่า ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ ที่หลายคนทราบกัน คือ สามารถลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียก็มีเช่นเดียวกัน คือ อาจมีปัญหาเกี่ยวกับปัญหาเคลื่อนไหวในบริเวณที่ฉีดได้ และอาจมีอาการเจ็บปวดหลังการฉีด
โบท็อกซ์ (botox) มีหลายชนิด แต่สามารถแบ่งได้อย่างง่าย คือ
- Botox Cosmetic: ใช้สำหรับปรับรูปหน้าให้เหมาะสม เช่น ลดริ้วรอย เส้นริ้วรอยบริเวณหน้า บริเวณคอ และบริเวณหน้าผาก
- Botox Therapeutic: ใช้สำหรับรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคไตเรื้อรัง และโรคปวดศีรษะเรื้อรัง
ซึ่งแต่ละชนิดโบท็อกซ์จะใช้สารสกัดต่างกัน เช่น Botox Cosmetic จะใช้สารสกัดจาก Clostridium botulinum แต่ Botox Therapeutic อาจใช้สารสกัดจากสารอื่นๆ เช่น Myobloc หรือ Dysport
ผลของโบท็อกซ์ (botox) สำหรับปรับรูปหน้าจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากฉีดซ้ำจะช่วยให้ผลการปรับรูปหน้าอยู่ได้นานขึ้น
หลังฉีดโบท็อกซ์ (botox) คุณควรให้ความสำคัญในการดูแลรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- หลังฉีดโบท็อกซ์ควรหลีกเลี่ยงการเผาผลาญอาการ เช่น การปวดศีรษะ และความร้อนที่เกิดจากการออกกำลังกาย
- ควรหลีกเลี่ยงการนอนหลับหรือนั่งอยู่ในบริเวณที่ได้รับการฉีดโบท็อกซ์ในเวลาแรก 4-6 ชั่วโมง
- ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงเวลาแรก 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของสารสกัด
ที่ agafar medical clinic เราก็มีโปรแกรมที่ให้บริการฉีดโบท็อกซ์บนใบหน้าเช่นเดียวกัน สามารถปรึกษาเพื่อเลือกโปรแกรมที่คุณต้องการ และจองคิวได้แล้วที่ Line : @agafarthailand